วิกฤตขยะอาหาร...
สู่เป้าหมาย Net Zero ของไทย

คำกล่าวบรรยายพิเศษ โดย ผู้อำนวยการสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 11
ในพิธีเปิดโครงการบูรณาการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการขยะมูลฝอย (CCE)

ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา (ประธานในพิธี), ท่านผู้มีเกียรติจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และพี่น้องสื่อมวลชนทุกท่าน

ผมรู้สึกเป็นเกียรติและยินดีอย่างยิ่ง ที่ได้มายืนอยู่ ณ ที่นี้ ในการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อเปิดตัวโครงการที่สำคัญยิ่งต่ออนาคตของพวกเราทุกคน วันนี้ เราไม่ได้มาพูดคุยกันเพียงแค่เรื่อง "ขยะ" ที่เราเห็นอยู่ทุกวัน แต่เราจะมาพูดถึง วิกฤตเงียบบนจานอาหาร ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และที่สำคัญคือ เป้าหมายระดับชาติในการมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือNet Zero


1. สถานการณ์ปัจจุบัน: วิกฤตที่มองไม่เห็น

ท่านผู้มีเกียรติครับ ทุกครั้งที่เราทานอาหารเหลือ หรือทิ้งผักผลไม้ที่เริ่มเหี่ยวเฉา เราอาจไม่เคยตระหนักว่าสิ่งที่เราทิ้งไปนั้น กำลังสร้างปัญหาที่ใหญ่กว่าแค่การสิ้นเปลืองทรัพยากร

ปัจจุบัน ประเทศไทยของเรากำลังเผชิญกับปัญหาขยะอาหารในระดับที่น่าเป็นห่วง ข้อมูลล่าสุดชี้ว่าขยะอาหารคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 40% ของขยะทั้งหมดที่เกิดขึ้นในประเทศ และเมื่อขยะอาหารเหล่านี้ถูกนำไปฝังกลบ มันจะย่อยสลายแบบไร้ออกซิเจน และปล่อยก๊าซมีเทน ($CH_4$) ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่รุนแรงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ ($CO_2$) ถึง28 เท่า

10.24 ล้านตัน

คือปริมาณขยะอาหารที่คนไทยสร้างขึ้นในปี 2566
เทียบเท่ากับการนำรถยนต์ 2.5 ล้านคันมาวิ่งบนท้องถนนตลอดทั้งปี

ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดนครชัยบุรินทร์ของเรา ซึ่งเป็นทั้งศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ แหล่งเกษตรกรรม และเมืองท่องเที่ยว ปัญหานี้มีความซับซ้อนและรุนแรงไม่แพ้ที่ใดครับ


2. จาก "จานอาหาร" สู่ "เป้าหมาย Net Zero"

รัฐบาลไทยได้ประกาศเจตนารมณ์ที่ชัดเจนในการประชุม COP26 ว่าประเทศไทยจะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050และเป้าหมายNet Zero Emission ภายในปี 2065

คำถามคือ...เราจะไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร? คำตอบส่วนหนึ่งที่สำคัญและอยู่ใกล้ตัวเราที่สุด ก็คือ การจัดการขยะอาหาร นี่เองครับ การลดขยะอาหารไม่ใช่แค่การลดปริมาณขยะที่ต้องไปฝังกลบ แต่คือการ ตัดวงจร การปล่อยก๊าซเรือนกระจกตั้งแต่ต้นทางได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

ทุกครั้งที่เราลด Food Waste เรากำลังช่วยลดการใช้พลังงาน น้ำ และที่ดินในการผลิตอาหาร ลดการปล่อยมลพิษจากการขนส่ง และที่สำคัญคือ ลดการปล่อยก๊าซมีเทนจากหลุมฝังกลบโดยตรง นี่จึงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่คุ้มค่าและทรงพลังที่สุดในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ


3. โครงการ CCE: คำตอบของ "นครชัยบุรินทร์"

ด้วยเหตุนี้ สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 11 จึงได้ริเริ่ม โครงการบูรณาการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการขยะมูลฝอย หรือ CCE ขึ้น โครงการนี้ไม่ใช่เพียงการรณรงค์ แต่คือ แผนปฏิบัติการ ที่จะเปลี่ยนแนวคิดให้กลายเป็นการลงมือทำจริง โดยมีหัวใจสำคัญ 3 ประการคือ:

1. การป้องกันและลดขยะอาหาร ณ แหล่งกำเนิด (Prevention): เราจะทำงานร่วมกับผู้ประกอบการ โรงแรม ร้านอาหาร ตลาดสด เพื่อหาแนวทางลดอาหารส่วนเกิน (Surplus Food) และขยะอาหาร (Food Waste) ตั้งแต่ในครัว

2. การสร้างมูลค่าเพิ่มจากขยะ (Circular Economy): เราจะส่งเสริมให้มีการคัดแยกขยะเศษอาหาร เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ให้สูงสุด เช่น การทำปุ๋ยหมักคุณภาพสูง อาหารสัตว์ หรือเปลี่ยนเป็นพลังงานทดแทน

3. การสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่ยั่งยืน (Collaboration): เราเชื่อว่าปัญหานี้ใหญ่เกินกว่าที่หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งจะแก้ไขได้เพียงลำพัง โครงการนี้จึงเป็นเวทีให้ทุกภาคส่วน ทั้ง ทสจ., อปท., หอการค้า, สภาอุตสาหกรรม และภาคประชาสังคม ได้มาร่วมกันออกแบบอนาคตที่สะอาดและยั่งยืนสำหรับบ้านของเรา


ท่านผู้มีเกียรติครับ...

วันนี้ คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งสำคัญ การแก้ไขวิกฤตขยะอาหาร ไม่ใช่ภาระของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็น "ความรับผิดชอบร่วมกัน" และเป็น "โอกาส" ที่เราจะแสดงให้เห็นว่า กลุ่มจังหวัดนครชัยบุรินทร์ของเรา มีศักยภาพที่จะเป็นผู้นำด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม และเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้สำเร็จ

ผมขอขอบคุณทุกท่านที่สละเวลามาร่วมกันในวันนี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพลังความร่วมมือของพวกเรา จะสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่และยั่งยืนสืบไป

ขอบคุณครับ